Smart Farm หรือเกษตรอัจฉริยะ เป็นนวัตกรรมที่กำลังปฏิวัติวงการเกษตรกรรมไทยให้ก้าวกระโดดสู่ยุคดิจิทัล ด้วยการผสมผสานเทคโนโลยีและการเกษตรเข้าด้วยกันอย่างลงตัว วันนี้ ไทเกอร์โดรนจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Smart Farm ว่าคืออะไร Smart Farm มีอะไรบ้าง และเทคโนโลยีใดที่จะช่วยยกระดับการทำเกษตรให้ก้าวล้ำยิ่งกว่าเดิม
Smart Farm คืออะไร นิยามเกษตรอัจฉริยะที่คุณต้องรู้
Smart Farm หรือเกษตรอัจฉริยะ คือ การผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับวิถีเกษตรแบบดั้งเดิม โดยนำระบบ IoT เซ็นเซอร์ ปัญญาประดิษฐ์ และโดรนมาช่วยในการบริหารจัดการพื้นที่เกษตรอย่างแม่นยำ ตั้งแต่การวางแผนการเพาะปลูก ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต
เทคโนโลยีทันสมัยเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้เกษตรกรไทยเผชิญความท้าทายปัจจุบันได้ดีขึ้น ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การขาดแคลนแรงงาน และความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง Smart Farm ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดต้นทุน ด้วยระบบอัตโนมัติและการจัดสรรทรัพยากรที่เหมาะสม พร้อมส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและยั่งยืน
ความแตกต่างระหว่าง การทำเกษตรแบบดั้งเดิม กับ Smart Farm

เกษตรแบบดั้งเดิมกับ Smart Farm แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยเกษตรดั้งเดิมพึ่งพาประสบการณ์และการสังเกตด้วยตา ใช้ปัจจัยการผลิตในปริมาณเท่ากันทั่วแปลง และต้องลงพื้นที่ตรวจสอบด้วยตนเอง ในขณะที่ Smart Farm จะใช้เซ็นเซอร์และระบบ IoT เก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ด้วย AI และปรับใช้ทรัพยากรตามความต้องการเฉพาะจุด
นอกจากนี้ Smart Farm ยังใช้เทคโนโลยีอัตโนมัติและโดรนมาทดแทนการใช้แรงงาน ทำให้ทำงานได้อย่างแม่นยำและสม่ำเสมอ พร้อมทั้งลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ นำไปสู่การทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืนกว่า
ตารางสรุปความแตกต่าง การทำเกษตรแบบดั้งเดิม กับ Smart Farm
| หัวข้อ | เกษตรแบบดั้งเดิม | Smart Farm |
| การจัดการข้อมูล | อาศัยประสบการณ์และสังเกตด้วยตา | ใช้เทคโนโลยีเก็บข้อมูลและวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ |
| การใช้ปัจจัยการผลิต | ใช้ในปริมาณเท่ากันทั้งแปลง | ใช้อย่างแม่นยำตามความต้องการเฉพาะจุด |
| การดูแลและเฝ้าระวัง | ต้องลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเอง | ติดตามได้ตลอดเวลาผ่านแอปพลิเคชันและระบบออนไลน์ |
| แรงงาน | ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก | ลดการใช้แรงงานด้วยเทคโนโลยีอัตโนมัติ |
| ความแม่นยำ | ขึ้นอยู่กับทักษะและประสบการณ์ | มีความแม่นยำสูงด้วยระบบคอมพิวเตอร์และเซ็นเซอร์ |
| ผลผลิต | ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก | สม่ำเสมอ และคาดการณ์ผลผลิตได้ดีกว่า |
| ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม | ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลือง | ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม |
ขั้นตอนการทำ Smart Farm มีอะไรบ้าง
ขั้นตอนการทำ Smart Farm (เกษตรอัจฉริยะ) โดยทั่วไปจะประกอบด้วย 6 ขั้นตอนหลักที่ช่วยให้ฟาร์มเปลี่ยนจากระบบเดิมเป็นระบบอัจฉริยะได้อย่างเป็นระบบและยั่งยืน ดังนี้
1. วิเคราะห์ปัญหาและตั้งเป้าหมาย
เริ่มต้นจากการสำรวจปัญหาในฟาร์มหรือไร่ เช่น น้ำไม่เพียงพอ ขาดแรงงาน ใช้ปุ๋ยไม่คุ้ม หรือผลผลิตไม่สม่ำเสมอ จากนั้นตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต หรือลดการใช้สารเคมี เพื่อกำหนดทิศทางการพัฒนาได้ตรงจุด
2. วางแผนระบบและเลือกเทคโนโลยี
วางแผนว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไรบ้าง เช่น โดรนเกษตร, ระบบรดน้ำอัตโนมัติ, เซ็นเซอร์วัดความชื้นในดิน หรือระบบควบคุมอุณหภูมิ จากนั้นเลือกโซลูชันให้เหมาะสมกับพื้นที่และงบประมาณ เช่น ฟาร์มเล็กอาจเริ่มจากระบบให้น้ำอัตโนมัติ ส่วนฟาร์มขนาดใหญ่สามารถลงทุนระบบเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ร่วมด้วย
3. ติดตั้งอุปกรณ์และโครงสร้างพื้นฐาน
นำอุปกรณ์ต่าง ๆ มาติดตั้งในพื้นที่ เช่น เซ็นเซอร์วัดความชื้น กล้องวงจรปิด ปั๊มน้ำอัตโนมัติ และระบบเน็ตเวิร์กสำหรับส่งข้อมูล เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลและควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านศูนย์กลางได้สะดวก และรองรับการขยายระบบในอนาคต
4. เริ่มใช้งานและเก็บข้อมูล
หลังติดตั้งเสร็จ เริ่มทดลองใช้งานระบบ ตรวจสอบการทำงานของเซ็นเซอร์ ระบบน้ำ หรือโดรนเกษตร พร้อมเก็บข้อมูลจริงจากภาคสนาม เช่น ความชื้น อุณหภูมิ ปริมาณน้ำที่ใช้ เพื่อใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพของระบบในแต่ละช่วงการเพาะปลูก
5. วิเคราะห์ข้อมูลและปรับปรุงการทำงาน
นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์หาจุดที่สามารถปรับปรุง เช่น เพิ่มรอบการให้น้ำในช่วงแล้ง ลดปริมาณปุ๋ยในช่วงฝนตก หรือปรับพฤติกรรมการบินของโดรนฉีดยาข้าวเพื่อให้การหว่านปุ๋ยเม็ดแม่นยำขึ้น ช่วยให้การบริหารจัดการแม่นยำขึ้นและประหยัดทรัพยากรมากขึ้น
6. ขยายผลและพัฒนาต่อเนื่อง
เมื่อระบบเริ่มเสถียรและได้ผลตามเป้าหมาย สามารถขยายการใช้เทคโนโลยีในแปลงอื่น ๆ เช่น เพิ่มการใช้โดรนตรวจสุขภาพพืช ติดตั้งเซ็นเซอร์เพิ่มเติม หรือเชื่อมต่อกับระบบบริหารจัดการฟาร์มแบบครบวงจร เพื่อยกระดับการทำ Smart Farm ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในระยะยาว
Smart Farm ใช้เทคโนโลยีอะไรบ้าง

เกษตรอัจฉริยะหรือ Smart Farm นั้น ประกอบด้วยเทคโนโลยีหลากหลายที่ทำงานร่วมกันเพื่อให้การทำเกษตรมีประสิทธิภาพสูงสุด เทคโนโลยีหลัก ๆ ที่นิยมใช้ในการทำ Smart Farm ได้แก่
1. ทำเกษตรอัจฉริยะด้วยโดรน
โดรนเกษตรเป็นเครื่องมือสำคัญของ Smart Farm ด้วยความสามารถที่หลากหลาย ทั้งสำรวจพื้นที่จากมุมสูงเพื่อตรวจสอบสภาพแปลงและการเติบโตของพืช ฉีดพ่นสารเคมีและปุ๋ยอย่างแม่นยำ ช่วยลดต้นทุนและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หว่านเมล็ดได้อย่างสม่ำเสมอทดแทนแรงงานคน และมีระบบวิเคราะห์ข้อมูลผ่านเซ็นเซอร์พิเศษที่ตรวจวัดสุขภาพพืชและสภาพดิน ประมวลผลด้วย AI เพื่อช่วยเกษตรกรตัดสินใจจัดการฟาร์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งในการพิจารณาวิธีเลือกโดรนมาใช้ในงานเกษตร จำเป็นต้องคำนึงเรื่องขนาดของโดรนและขนาดพื้นที่การเกษตรด้วย เช่น แปลงเกษตรขนาดเล็กถึงปานกลาง ควรเลือกใช้โดรนที่มีความจุถังประมาณ 10 ลิตร อย่าง ไทเกอร์โดรนรุ่น TGD1X-Max ส่วนพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ เช่น สวนผลไม้หรือนาข้าว ควรเลือกโดรนที่มีความจุถังมากกว่า 20 ลิตร อย่าง TIGERDRONE รุ่น TGD2 (25 ลิตร) เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานที่เหมาะสมกับขนาดพื้นที่
2. ทำเกษตรอัจฉริยะด้วยระบบ IoT
ระบบ IoT (Internet of Things) หรือ Smart farm Iot เป็นการเชื่อมต่ออุปกรณ์และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ เข้ากับระบบอินเทอร์เน็ต ทำให้สามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ โดบเทคโนโลยี IoT ในการทำเกษตรอัจฉริยะประกอบด้วย เซ็นเซอร์ตรวจวัดดิน เซ็นเซอร์ตรวจวัดอากาศ เซ็นเซอร์ติดตามการเจริญเติบโตของพืชและตรวจจับโรคหรือศัตรูพืช โดยมีแอปพลิเคชันที่จะแสดงข้อมูลจากเซ็นเซอร์ต่าง ๆ แบบเรียลไทม์ ทำให้เกษตรกรสามารถวางแผนการจัดการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
3. ใช้เครื่องจักรกลทำเกษตรอัจฉริยะ
เครื่องจักรกลเกษตรอัจฉริยะติดตั้งระบบ GPS และ Telematics ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำเกษตร โดยแทรกเตอร์ไถเตรียมดินได้แม่นยำด้วย GPS และรถเกี่ยวนวดปรับความเร็วตามความหนาแน่นของพืช ระบบติดตามข้อมูลช่วยวางแผนบำรุงรักษาและประหยัดเชื้อเพลิง สามารถทำงานร่วมกับโดรนและเซ็นเซอร์ IoT เพื่อการเกษตรที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
4. ทำเกษตรอัจฉริยะด้วยระบบโรงเรือนอัตโนมัติ
โรงเรือนอัตโนมัติเป็นเทคโนโลยีสำคัญของเกษตรอัจฉริยะที่ช่วยควบคุมสภาพแวดล้อมสำหรับพืชได้อย่างแม่นยำ ระบบนี้ช่วยจัดการอุณหภูมิ ความชื้น การไหลเวียนอากาศ ปริมาณแสง รวมถึงระบบน้ำและปุ๋ยแบบอัตโนมัติ พร้อมเก็บข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์และปรับปรุงการผลิต จึงเหมาะมากสำหรับการปลูกพืชมูลค่าสูงอย่างผักออร์แกนิก ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิ แสง และความชื้นเฉพาะเจาะจง
5. ทำเกษตรอัจฉริยะด้วยระบบคาดการณ์การเพาะปลูกล่วงหน้า
ระบบคาดการณ์การเพาะปลูกล่วงหน้าโดย ใช้ข้อมูลจากสภาพอากาศ คุณภาพดิน และประวัติการเพาะปลูกมาวิเคราะห์ เพื่อคาดการณ์สภาพอากาศและความเสี่ยงจากภัยธรรมชาติ การระบาดของโรคและแมลงศัตรูพืช ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการปลูกและเก็บเกี่ยว รวมถึงผลผลิตและราคาตลาดในอนาคต ช่วยให้เกษตรกรวางแผนการผลิต บริหารความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประโยชน์ของการทำ Smart Farm
การทำเกษตรอัจฉริยะหรือ Smart Farm มีประโยชน์มากมาย ดังนี้
- เพิ่มผลผลิตต่อไร่ ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ ทำให้ได้ผลผลิตมากขึ้นในพื้นที่เท่าเดิม
- ลดต้นทุนการผลิต ประหยัดค่าปุ๋ย สารเคมี น้ำ และแรงงาน
- เพิ่มคุณภาพผลผลิต ควบคุมปัจจัยการผลิตได้อย่างแม่นยำ ทำให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ
- ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ใช้สารเคมีและทรัพยากรธรรมชาติอย่างมีประสิทธิภาพ
- บริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น มีข้อมูลที่แม่นยำในการคาดการณ์และตัดสินใจ
- ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง ระบบอัตโนมัติทำงานได้ตลอดเวลา แม้ไม่มีคนควบคุม
- รับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ปรับตัวได้เร็วเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลง
- สร้างความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม ดึงดูดคนรุ่นใหม่ให้หันมาทำเกษตรด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
- ยกระดับเกษตรกรไทยสู่สากล สร้างความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
ยกระดับเกษตรไทยสู่ Smart Farm ด้วยไทเกอร์โดรน

Smart Farm หรือเกษตรอัจฉริยะ คือการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้กับการทำเกษตรกรรม ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐได้เปิดโอกาสให้เกษตรกรไทยเข้าถึงนวัตกรรมเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประยุกต์ใช้โดรนเกษตร หรือเทคโนโลยีทันสมัยอื่น ๆ ที่ช่วยทุ่นแรงแต่ให้ผลลัพธ์อย่างคุ้มค่า
การทำเกษตรอัจฉริยะ ช่วยเสริมศักยภาพให้เกษตรกรไทยสามารถรับมือกับความท้าทายในอนาคตได้อย่างมั่นใจ ทั้งการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่คาดเดาได้ยาก ปัญหาการขาดแคลนแรงงานภาคเกษตรที่นับวันจะรุนแรงขึ้น รวมถึงการตอบสนองต่อความต้องการอาหารที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของประชากรโลก
